สัมผัสความสวยงามของงานศิลปะ Wat Rong Khun (วัดร่องขุ่น)

Wat Rong Khun

White Temple of Northern Thailand

Wat Rong Khun is unique from other temples in that it has been constructed entirely in a radiant white color with sparking reflections from mirrored glass mosaics embedded in the white plaster.

Human-liked Giant on the Bridge to Main Chapel

The temple is the idea of Mr. Chalermchai Kositpipat, one of Thailand’s most renowned artists, who wanted to build a temple all in white to signify the purity of Lord Buddha. The artist continues to puts his religious belief and desire to enrich Buddhism in Thailand into his contemporary art design.

Pleading Hands Rise Up from Hell

The construction of the White Temple is Khun Chalemchai’s master work, which he refers to as an offering to Lord Buddha and his beloved country.

Sculture of Buddhist Saint Sitting on Lotus

Buddha Altar Inside of the Chapel

Golden Toilet

Credit By: http://www.thailand-travelonline.com

Light Graffiti เทคนิคการพ่นสีด้วยแสง

จากครั้งก่อนได้เคยนำข้อมูลของ Graffiti มาฝากกัน

แต่วันนี้จะนำข้อมูลของ Light Graffiti มาฝากกันค่ะ

Light Graffiti เป็นเทคนิคการพ่นสีด้วยแสงค่ะ

โดยมีข้อจำกัดว่าจะต้องถ่ายในเวลากลางคืนหรือไม่ก็ช่วงเวลาที่มีแสงน้อยค่ะ

โดยหลักการของมันก็คือ กล้องเก็บภาพแสงที่เคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ

(ยกตัวอย่างง่ายก็คือ เวลาเราเล่นไฟเย็น แล้ววาดมันเป็นรูปต่างๆ

เวลาใช้กล้องถ่ายมันก็จะเห็นเป็นรูปนั้น)

Light Graffiti Pictures

Did you ever tried to draw some forms in dark with the help of light? You must have noticed that when you draw something with light, you can create some shapes in the air.

Light Graffiti has come to fame over the last couple of years and there are quite a bit of amazing works to show on the internet demonstrating what can be achieved.

Light graffiti artists create unique tagging in air or sometimes around object in dimensional way and then images are clicked wth time-lapse photography. Sometimes this tagging is not even possible with spray paints.

Requirements for capturing light graffiti in your camera:

>>> For capturing the light graffiti in your camera; the most important accessory is tripod.

>>> If you cannot get a tripod make sure that your camera is in a fixed position.You need to set your camera with faster shutter speed.

>>> The exposure time should be around 10-30 seconds and this should vary with the lighting conditions.Keep your aperture dumb, do not highlight the aperture and make sure to keep your aperture closed.

>>> This controls the over exposure of the image.Always prefer low ISO and stick to ISO 100 for better light graffiti.If the lighting frequency is high, then attach a ND filter to cut down the unnecessary lighting.

Different light sources give you different colors of graffiti. Glow stick can be used to give variety of color, xenon gives you warm golden lights, cathode tubes give you thick lines and LED gives you thin precise lines.

Very Beautiful

I hop you enjoy and like light graffiti.

Credit By: http://www.digitalpicturezone.com/

Graffiti "ศิลปะบนกำแพง"

มาทำความรู้จัก Graffiti กันค่ะ

เป็นศิลปะอีกประเภทแขนงที่น่าสนใจเลยทีเดียว
เป็นศิลปะการพ่นสีสเปรย์ลงบนกำแพงค่ะ
ลองมาศึกษาที่มาของ Graffiti กันเลย

Graffiti ภาพวาดที่เกิดจากการขีดเขียนไปบนผนัง เป็นคำศัพท์ที่มาจากภาษากรีก grafito ซึ่งแปลว่าการเขียนภาพลงบนผนังหรือกำแพงในสมัยโบราณ โดยที่รู้จักกันทั่วไปจะมีลักษณะของการพ่น (bombing) เซ็นชื่อ หรือเป็นการเซ็นลายเซ็น โดยเริ่มต้นจากเมืองฟิลาเดลเฟียในมลรัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา จากนั้นจึงแพร่หลายในนิวยอร์กช่วงยุคคริสต์ทศวรรษที่ 60

ขณะที่ นิโคลัส แกนซ์ ผู้เขียน Graffiti World อธิบายไว้ว่า คำว่า graffitti ที่มาจาก graffitto ในภาษาอิตาลี ที่แปลว่า รอยจารึก หรือ รอยขีดข่วน อาจกล่าวได้ว่ากราฟฟิตีถือกำเนิดขึ้นบนโลกมานานแล้ว พร้อมๆ กับกำเนิดของอารยธรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอักษรฮีโรกลิฟฟิก ภาพเขียนสีตามผนังถ้ำ ก็อาจถือว่าเป็นกราฟฟิตีได้เช่นกัน

ประเภทของ Graffiti


"Tag"
คือการเซ็นลายเซ็นหรือนามแฝงของแต่ละคนโดยสเปรย์กระป๋อง หรือ ปากกา ส่วนมากใช้สีเดียว บางคนอาจพ่นเป็นตัวอักษรธรรมดา ขณะที่บางคนดีไซน์ให้เป็นตัวอักษรที่เกาะเกี่ยวกันจนอ่านไม่ออก เน้นให้ดูแปลกและสะดุดตา


"Throw-ups"
คือการเขียนเร็ว ๆ ด้วยสีพื้นฐาน จำนวนน้อยสีนิยมใช้สีขาวดำ แสดงให้เห็นเส้นสายที่รวดเร็ว เป็นการเขียนตัวอักษรน้อยตัว มีเส้นตัดขอบเพื่อให้ดูมีมิติ ไม่เน้นความสวยงาม เพราะต้องทำแข่งกับเวลา



"Fill-in"
หรือ "Piece" คือ "Throw-ups" ที่ซับซ้อนขึ้น เป็นผลงานของไรเตอร์คนเดียว เป็นการพ่นสีสเปรย์ให้เป็นภาพหรือตัวอักษรที่สวยงาม ใช้เวลานานในการสร้างสรรค์ เพื่อให้ผลงานออกมาสมบูรณ์


"Block"
หรือ "Bubble" การเขียน Tag ที่ดูมีมิติมากขึ้น ใช้สีประมาณ 3 สี หรือมากกว่านั้น


"Wildstyle"
หรือ "Wickedstyle" เป็นสไตล์ที่ซับซ้อนขึ้น มีการเกาะเกี่ยวกันของตัวหนังสือ ลักษณะการเขียนประเภทนี้จะอ่านค่อนข้างยาก เพื่อแสดงความเหนือชั้นของการดีไซน์


"Blockbuster"
คือ "Fill-in" ที่เขียนที่ตั้งใจเขียนทั้งผนัง

"Character"
คือการพ่นเป็นรูปคน หรือ คาแร็กเตอร์ต่าง ๆ ไม่วาจะเป็นตัวการ์ตูน หรือเป็นภาพเสมือนจริงของดารา-นักร้องในดวงใจ หรืออาจเป็นตัวการ์ตูนที่ไรเตอร์ออกแบบเองเพื่อเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของไรเตอร์คนนั้น ๆ

"Production"
คือ การรวมกราฟฟิตีทุกรูปแบบไว้ด้วยกัน เกิดจากการรวมที่ไรเตอร์หลายคนหรือหลายกลุ่มนัดกันสร้างผลงานร่วมกัน โดยมีธีมไปในทิศทางเดียวกันหรือสอดคล้องกัน เช่น นัดกันพ่นคาแร็กเตอร์ประจำตัวของไรเตอร์แต่ละคนหรือพ่นชื่อกลุ่ม ชื่อตัวเอง หรือเปล่าไรเตอร์อาจร่วมกันกำหนดวาระต่าง ๆ ขึ้นเอง

Graffiti ในประเทศไทย

กราฟฟิตีในประเทศไทยมีให้เห็นเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร ซึ่งจะพบเห็นตามอาคารหรือกำแพงที่ถูกทิ้งร้าง รวมถึงกำแพงและอาคารที่ยังมีผู้อยู่อาศัยด้วย ส่วนใหญ่กราฟฟิตีในประเทศไทยยังเป็นการแสดงออกทางศิลปะเท่านั้น ยังไม่มีการเสียดสีหรือล้อเลียนเรื่องราวต่างๆ ในสังคมมากนัก

หลังจากที่กราฟฟิตีครองความนิยมในหมู่วัยรุ่นไทยและได้พัฒนาขึ้นมาก ได้มีการประกวดกราฟฟิตีหรืองานแสดงสินค้า งานอีเวนต์ต่าง ๆ ที่นำกราฟฟิตีไปแสดง ไม่ว่าจะเป็นงาน Battle of the year ที่งานจัดประกวดกราฟฟิตี งาน MBK Graffitti Lesson 1 ที่จัดประกวดแข่งขันโชว์การพ่นกราฟฟิตีแนวสตรีทอาร์ต และเว็บไซต์กระปุกดอตคอมและพันธมิตรได้เคยร่วมจัดประกวดกราฟฟิตีพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมถึงงานแสดงนิทรรศกาลศิลปะ Keep on Keeping on เป็นต้น

ซึ่งจากการจัดงานประกวดนี้เอง ไรเตอร์จำนวนไม่น้อยสามารถยึดกราฟฟิตีเป็นอาชีพหาเลี้ยงตัวเองได้อย่างสุจริต เช่นการนำกราฟฟิตีมาใช้ออกแบบร้านเสื้อผ้าแนวสตรีทอาร์ต ออกแบบร้านสเก็ตบอร์ด อย่างเช่น เอ็ม แห่งวงบุดด้า เบลส ที่เคยยึดเป็นอาชีพ

เอาไว้วันหลังจะนำรูปภาพของ Graffitti มาฝากกันนะค่ะ

ขอบคุณแหล่งที่มาจาก: http://th.wikipedia.org/

Styles of Art

Artists used many styles in their paintings and drawings. Here are some of the more common styles of art. Learn about each style and how to identify it. Next time you look at a painting, try to figure out what style it is.

-------------------Abstract--------------------

ABOUT THE STYLES

Abstract artists felt that paintings did not have to show only things that were recognizable. In their paintings they did not try to show people, animals, or places exactly as they appeared in the real world. They mainly used color and shape in their paintings to show emotions. Some Abstract art is also called Non-objective art. In non-objective art, you do not see specific objects. It is not painted to look like something specific.

THE ARTISTS
>>> Sonia Delaunay
>>> Jackson Pollock

------------------Cubism--------------------

ABOUT THE STYLE

Cubism is modern art made up mostly of paintings. The paintings are not supposed to look real The artist uses geometric shapes to show what he is trying to paint. Early cubists used mainly grays, browns, greens, and yellows. After 1914, Cubists started to use brighter colors. Cubism was the beginning of the Abstract and Non-objective art styles.
THE ARTISTS

>>> Pablo Picasso
>>> Marc Chagall
>>> Georges Braque

------------------Expressionism--------------------

ABOUT THE STYLE


In Expressionist Art, the artist tries to express certain feelings about some thing. The artists that painted in this style were more concerned with having their paintings express a feeling than in making the painting look exactly like what they were painting.

THE ARTISTS

>>> Marc Chagall
>>> Wassily Kandinsky
>>> Ludwig Kirchner

------------------Fauvism--------------------

ABOUT THE STYLE

Fauvism was an art style that lasted only four years, beginning in 1905. The leader of this movement was Henri Matisse. The word Fauvism is french for "wild beasts". It got this name because the paintings had bright and unusual colors. The subjects in the paintings were shown in a simple way, and the colors and patterns were bright and wild.

THE ARTISTS
>>> Henri Matisse

------------------Impressionism--------------------

ABOUT THE STYLE

Impressionism was developed in France during the late 19th and early 20th centuries. These pieces of art were painted as if someone just took a quick look at the subject of the painting. The paintings were usually in bold colors and did not have a lot of detail. The paintings in this style were usually outdoor scenes like landscapes. The pictures were painted to look like they were shimmering.

THE ARTISTS

>>> Claude Monet

>>> Mary Cassatt

>>> Pierre Auguste Renoir

>>> Camille Pissarro

ฝากไว้เท่านี้ก่อนละกันนะค่ะ

ว่างๆเดี๋ยวจะเอา Style of ART ภาค 2 มาต่อกันอีกค่ะ